Gold (Au)
ทองคำ
คุณสมบัติโดยทั่วไปเป็นดังนี้ครับ
1. เลขอะตอม 79 เป็นธาตุที่ 3 ของหมู่ IB ในตารางธาตุ จัดเป็นโลหะ
2. น้ำหนักอะตอม 196.967 amu
3. จุดหลอมเหลว 1063 ํc
4. จุดเดือด 2808 ํc
5. ความหนาแน่น 19.32 g/cc
6. เลขออกซิเดชันสามัญ +1,+3
การค้นพบ
สันนิฐานว่าทองคำคงจะเป็นโลหะอิสระโลหะแรกที่มนุษย์เรารู้จัก มนุษย์เรารู้จักโลหะทองคำอย่างน้อยตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ใน Meso potamia (อาณาจักรโบราณในตะวันออกกลาง) ประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นอียิปต์โบราณ ยุโรป จีน ล้วนแล้วแต่มี การกล่าวถึงทองคำ คุณค่าและการใช้ประโยชน์ของโลหะนี้
ความมีค่าของทองคำเป็นแรงดลใจให้มนุษย์เราพยายามเสาะแสวงหามันได้ครอบครอง ในยุคเล่นแร่แปรธาตุ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาวิธีเปลี่ยนโลหะที่มีราคาถูกและหาง่าย เช่น Pb, Sn ให้เป็นทองคำ ความพยายามถึงแม้จะไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็มีส่วนทำให้วิทยาการทางเคมี แพทย์และการถลุงโลหะเจริญก้าวหน้ามาตามลำดับ
การใช้ประโยชน์
1. ใช้เป็นมาตรฐานของระบบการเงินสากล ประมาณกึ่งหนึ่งของทองคำทั้งหมดเก็บรักษาอยู่ในคลังของประเทศต่าง ๆ เพื่อจุดประสงค์นี้
2. ใช้เป็นเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ
3. ใช้ทำโลหะเจือ โลหะเจือของทองคำให้สีต่าง ๆ การบอกร้อยละของทองคำในโลหะเจือนิยมระบุเป็นการัด (karat)
1 karat (Kt) = 1/24 ของทองคำโดยน้ำหนักในโลหะเจือ
ดังนั้น ทองคำ 24 Kt คือทองคำบริสุทธิ์ ส่วนทองคำ 18 Kt, 14 Kt และ 10 Kt มีองค์ประกอบของทองคำโดยน้ำหนัก 75.00 %, 58.33 % และ 41.67 % ตามลำดับ
4. แผ่นทองคำบาง ๆ (gold leaf) ใช้เป็นตัวอักษรหรือสัญญาณของเครื่องบอกสัญญาณ ตัวอักษรของปกหนังสือ
5. ทองคำในรูปแขวนลอยใช้ทำลาย และศิลปบนผิวของเครื่องปั้นดินเผา
6. ใช้ในอุตสาหกรรมอิเลกโตรนิก และโครงการยานอวกาศ
ความเป็นพิษ
ทองคำไม่ปรากฏเป็นพิษ
-------------------------------------------------------------
ผู้เขียน : ดร.ชัยวัฒน์ เจนวาณิชย์
ที่มา : รวบรวมจาก หนังสือสารานุกรมธาตุ
คัดลอกจาก http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic2/Au.html
หมายเหตุ ขอเสริมเรื่องน้ำหนักทองที่ใช้ของไทยในหน่วย "บาท" นั้นมาจากการชั่งน้ำหนักทองคำสมัยก่อนใช้ตาชั่งแบบคานสมดุล ซึ่งพ่อค้าทองจะถ่วงทองคำกับอีกด้านด้วยเหรียญบาท โดย 1 บาท = 15.2 กรัม ปัจจุบันไม่นิยมใช้ตาชั่งแบบดังกล่าวแล้วประกอบกับเหรียญบาทในปัจจุบันอาจมีน้ำหนักไม่เท่าเดิม แต่หน่วยเรียกน้ำหนักทองดังกล่าวก็ยังคงติดปากจนปัจจุบัน
No comments:
Post a Comment